Thursday, 15 May 2025
เทพไท เสนพงศ์

"เทพไท" โวย แก้ กม.ให้ส.ส.-สว.หาเสียงให้ท้องถิ่นได้ไม่พอ ต้องแก้ให้มี สข.กับคน กทม.ด้วย จี้ สภาเร่งแก้กฎหมายท้องถิ่นให้เร็วทันเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.-สก.-สข.ไปพร้อมกัน

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า จากกรณีที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้หารือกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอเลื่อนระเบียบวาระการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่น ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ทันกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายกเมืองพัทยา ซึ่งเป็นการแก้ไข มาตรา 34 เปิดโอกาสให้ข้าราชการการเมือง ส.ส. สว. หรือผู้มีตำแหน่งทางการเมือง เข้าไปร่วมกิจกรรมหาเสียงกับผู้สมัครสภาท้องถิ่นได้

ทั้งนี้หากกฎหมายฉบับดังกล่าวผ่านความเห็นชอบ จะทำให้พรรคการเมืองเข้าไปมีส่วนร่วม กับการเมืองท้องถิ่น ส่งเสริมการเมืองท้องถิ่นมีความเข้มแข็งมากขึ้น โดยจะมีการนำเรื่องดังกล่าว เสนอเพื่อขอมติจากวิปรัฐบาล เสนอเลื่อนวาระการพิจารณาต่อที่ประชุมสภาฯ ในวันพุธที่ 9 ก.พ.นี้ เพื่อสามารถพิจารณาได้ในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนก.พ.

ถ้าหากร่างพระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ฉบับที่…พ.ศ…..ที่กล่าวอ้างนั้น เป็นฉบับเดียวกับที่เสนอโดยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และคณะเสนอ จะเป็นเรื่องที่ดีมาก   เพราะร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้น มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดให้มีสมาชิกสภาเขต (สข.)ด้วย ซึ่งถูกตัดออกไปในยุคของ คสช. ปรับเปลี่ยนเป็น คณะกรรมการประชาคมเขต ที่มาจากการแต่งตั้งของผู้อำนวยการเขต ซึ่งขัดกับหลักการปกครองท้องถิ่น ที่สมาชิกสภาเขต (สข.) ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง 

“เทพไท" หนุนรัฐเปิดคนละครึ่งเฟส 5 ให้วงเงิน 5 พันบาท กระตุ้นศก. ช่วยเหลือปชช.จากโควิดที่อาจเกิดรอบใหม่ได้ เผยเข้าร่วมสิทธ์เช่นกัน

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า จากการที่รัฐบาลได้เปิดให้มีการลงทะเบียนในโครงการคนละครึ่งเฟส 4 รับวงเงินใช้จ่ายคนละ 1,200 บาท ที่เว็บไซต์ คนละครึ่ง และแอพพลิเคชั่น เป๋าตัง ครบ 1 ล้านสิทธิ์แล้ว เมื่อเวลา 15.55 น.ของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 นั้น นับว่าเป็นความสำเร็จที่การใช้สิทธิ์ลงทะเบียนของประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ครบตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้วางไว้ คือ 29 ล้านคน (จากยอดผู้ที่เคยเข้าร่วมคนละครึ่งเฟส 3 จำนวน 27.98 ล้านคน) แสดงให้เห็นว่าโครงการคนละครึ่ง ยังเป็นที่นิยมของพี่น้องประชาชน เป็นจำนวนมาก เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประชาชน มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ทั้งผู้ซื้อสินค้า และกลุ่มแม่ค้า ที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเป็นจำนวนมาก 

“ส่วนตัวก็ได้ใช้สิทธิ์เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ด้วย เพราะตอนเปิดให้ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ยังขาดจำนวนผู้ใช้สิทธิ์อยู่ประมาณ 2 ล้านคนอยู่หลายวัน จึงได้ทดลองใช้สิทธิ์ ในโครงการคนละครึ่งในเฟส 3 ด้วย แต่ได้ใช้สิทธิ์ไม่ครบตามวงเงิน4,500บาท และตอนนี้ได้ลงทะเบียนยืนยันสิทธิ์ เพื่อเข้าร่วมโครงการ ผ่านแอพพลิเคชั่น "เป๋าตัง" รับวงเงินใช้จ่าย 1,200 บาท แล้ว ได้ใช้สิทธิ์คนละครึ่งกับร้านค้าขายกล้วยปิ้ง ร้านขนมหวาน อยู่เป็นประจำ”นายเทพไท ระบุ

“เทพไท” หนุนเลื่อนปลดโควิด ออกจากโรคฉุกเฉิน ชี้สวนทาางสภาพความเป็นจริง ส่งผลกระทบต่อปชช.ที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟสบุ๊กว่า เห็นด้วยกับแนวความคิดของนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่จะเสนอให้รัฐบาลเลื่อนการยกเลิกโรคโควิด-19 ออกจากกลุ่มโรคฉุกเฉิน ตามที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ในวันที่ 1 มีนาคม เป็นวันที่ 1 เมษายน  ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่า รัฐบาลไม่ควรกำหนดห้วงเวลา การรักษาโรคโควิด-19 ออกจากโรคฉุกเฉิน อยากให้รัฐบาลได้รักษาพยาบาล ดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 จะลดลงเหลือยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งประเทศ วันละไม่เกิน 3,000 คน

และหากพิจารณายอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 4กุมภาพันธ์ จนถึงวันนี้ มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นจำนวนหลักหมื่นทุกวัน และนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ยังมียอดผู้ติดเชื้อสูงถึง 14,900 คน การจะยกเลิกการรักษาโรคโควิด-19 ออกจากโรคฉุกเฉินนั้น เป็นแนวความคิดที่สวนทาง กับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

“ผมอยากให้รัฐบาลได้ชะลอ และรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ออกไปก่อน จนกว่ามีความมั่นใจแล้วว่า สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้จริงๆ ถึงจะยกเลิกการรักษาโรคโควิด-19 ออกจากกลุ่มโรคฉุกเฉิน หากรัฐบาลยังตัดสินใจยกเลิกอย่างเร่งด่วนแบบนี้ ก็จะเกิดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ที่มีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ไม่สามารถเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน หรือโรงพยาบาลที่มีคุณภาพได้

"เทพไท" เตือนครม. เปลี่ยนชื่อ "Bangkok" เป็น "Krung Thep Maha Nakhon" อย่าหาทำ พร้อมมองไม่จำเป็นชื่อเดิมคนติดหูทั่วโลก

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานราชบัณฑิตยสภาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติ ที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานราชบัณฑิตยสภา ประกาศเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงของ "ประเทศไทย" จาก "Bangkok" เป็น "Krung Thep Maha Nakhon" นั้น

ส่วนตัว ไม่ทราบถึงความจำเป็น หรือหลักวิชาการในการเปลี่ยนชื่อ เมืองหลวงของประเทศไทย จาก "Bangkok" เป็น "Krung Thep Maha Nakhon" ว่า มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน เพราะชื่อ Bangkok เป็นชื่อที่มีมานานแล้ว คนทั่วโลกรู้จัก คุ้นเคย เป็นชื่อที่ติดหูคนทั่วโลกมาแล้ว การจะเปลี่ยนชื่อเป็น Krung Thep Maha Nakorn เป็นชื่อที่ยาว จำได้ยาก เขียนก็ยาก คนต่างชาติยิ่งออกเสียงได้ยากกว่าอีก อาจจะทำให้ชาวโลกเกิดความสับสนได้ ผมเห็นว่าไม่ควรจะเปลี่ยนแปลงใดๆ ในชื่อเมืองหลวงของเรา

ผมเกิดมาก็ได้ยินคำว่า บางกอก แล้ว สมัยก่อนคนบ้านนอก หรือคนต่างจังหวัด จะเข้ากรุงเทพ ก็ต้องพูดว่า ไปบางกอก กันทั้งนั้น แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังใช้ คำว่า”บางกอก” ในการแต่งเพลงอยู่เป็นประจำ และเพลงในสมัยก่อน ก็พูดถึงชื่อเมืองบางกอกกันทั้งนั้น เช่น เพลงอย่าไปเลยบางกอก เพลงบางกอกหลอกลวง เพลงสุดคลองบางกอกน้อย เพลงอย่าหลงบางกอก เพลง บางกอกเมืองสวรรค์ ฯลฯ คำว่า บางกอก จึงเป็นคำที่มีมา ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นประวัติศาสตร์ เป็นตำนานที่น่าภาคภูมิใจของชนชาติไทย

“เทพไท” เตรียมผลักดัน กมธ. การจัดการบริการสาธารณะ กิจกรรมสาธารณะ ฯ ควบรวม อบต.-เทศบาล เป็นหนึ่งตำบล หนึ่งอปท. เพื่อเพิ่มบทบาทหน้าที่

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาอุปสรรค ในการจัดการบริการสาธารณะ กิจกรรมสาธารณะ และหาแนวทางในการแก้ไขเรื่องการถ่ายโอนภารกิจ ด้านการพัฒนาแหล่งน้ำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลการประชุม กมธ.ฯว่า ตนได้เสนอให้คณะอนุกมธ.พิจารณาศึกษาการจัดตั้งหน่วยงานส่งเสริมการกระจายอานาจ และพัฒนาการปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับชาติ ที่มี นพ.กิตติศักดิ์ คณาสวัสดิ์ ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เป็นประธานฯ ได้พิจารณาประเด็นการควบรวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ได้ยกฐานะตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ในราชกิจจานุเบกษา พ.ศ.2542 เรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองท้องถิ่น ยกฐานะสุขาภิบาลขึ้นเป็นเทศบาล และเปลี่ยนแปลงสภาตำบล เป็นองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทำให้มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายองค์กรอยู่ในตำบลเดียวกัน เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็ก มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในองค์กร ขาดงบประมาณในการพัฒนาพื้นที่ และมีอำนาจหน้าที่จำกัด

“เทพไท” เชื่อ กมธ.ผ่านฉลุยให้เปิดคาสิโน เตือน ระวังขั้นทำประชามติ ไม่มั่นใจเสียงส่วนใหญ่เอาด้วยหรือไม่ 

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) การจัดเก็บรายได้ และภาษีจากธุรกิจกาสิโนถูกกฎหมาย และมาตรการในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมาย การแพร่ระบาดของตู้เกมพนันไฟฟ้า และการพนันออนไลน์ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง การพิจารณาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร ว่าได้เชิญ นายณัฐกร วิทิตานนท์ นักวิจัยศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน และอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มานำเสนอข้อมูลต่อ กมธ.ฯ

โดยมีข้อสรุปและข้อสังเกต ถึงสภาพปัญหาการจัดตั้งสถานบันเทิงแบบครบวงจร ใน 3 ประเด็น คือ 1.ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในอาเซี่ยนมีคาสิโน จำนวนที่เยอะมาก รวมแล้วเกือบ 400 แห่ง ตั้งอยู่ใน8ประเทศ มีแค่3ประเทศเท่านั้น ที่ไม่มีคาสิโน คือ บรูไน อินโดนีเซีย และไทย จุดร่วมที่มีเหมือนกัน หนีไม่พ้นต้องการดูดเงินชาวต่างชาติ เสียยิ่งกว่าการป้องกันเงินไหลออกนอกประเทศ  มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้น ที่ยอมให้คนสัญชาติตัวเอง เข้าเล่นได้โดยปราศจากเงื่อนไขควบคุม ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ติมอร์เลสเต

2.แนวโน้มที่เห็นชัดเจน คือ จำนวนคาสิโน ทั้ง 7 ประเทศในอาเซี่ยน ที่ยอมรับให้คาสิโนถูกกฎหมายลดลง ทั้งจากมาตรการทางกฎหมายที่ต้องการจัดระเบียบธุรกิจพวกนี้ เช่น เมียนมา นโยบายจำกัดจำนวนโดยรัฐ ซึ่งมีอยู่แล้ว เช่น สิงคโปร์ รวมถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจ จากสถานการณ์โควิดโดยเฉพาะกัมพูชา

และ3.ต้นแบบการสร้างแหล่งบันเทิงครบวงจร ที่มีคาสิโนเป็นจุดขาย เพื่อดึงดูดนักพนันต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน อาจไม่ใช่สูตรสำเร็จในการแสวงหารายได้เข้าประเทศง่ายๆอีกแล้ว เนื่องด้วยปัจจัยจากจีน ประกอบกับในภูมิภาคมีภาวะการณ์แข่งขันกันเองของธุรกิจกลุ่มน้ีสูง

'เทพไท' วอนทุกฝ่าย หยุดสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง อย่าฟื้นอดีตเพื่อปฎิเสธความผิดของตัวเอง 

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ Facebookส่วนตัว ข้อความว่า ผมเห็นภาพการเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดงบางคน ที่ฉวยโอกาสใช้วันที่ 10 เมษายน จัดกิจกรรมรำลึกคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต และใช้โอกาสนี้เคลื่อนไหวทางการเมือง รื้อฟื้นความขัดแย้งในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการนำเอาเหตุการณ์ความขัดแย้งในอดีต ขึ้นมาขยายผลและตอกย้ำ สร้างเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งของสังคมขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ความรู้สึกของผู้คนในสังคมกำลังจะคลี่คลายสลายสีเสื้อให้หมดสิ้นจากสังคมไทยไปแล้ว และสังคมก็ไม่อยากจะเห็นความขัดแย้งทางการเมือง หรือการชุมนุมทางการเมืองบนท้องถนน แบบปักหลักพักค้าง แรมเดือนแรมปีเกิดขึ้นอีก เพราะเป็นการทำลายเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติจากประชาคมโลก แต่จนบัดนี้ก็ยังมีกลุ่มคนที่พยายามเคลื่อนไหวแบ่งแยกประชาชน โดยสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งของสังคมให้เกิดขึ้นอีก 

ส่วนตัวเห็นว่าบ้านเมืองควรจะก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง และกลุ่มคนที่เป็นแกนนำ หรือหัวโจกของขบวนการขัดแย้ง ก็ควรจะทบทวนบทบาทของตัวเอง ไม่ควรปลุกระดมสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นระหว่างคนในชาติอีก มีแกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงในอดีต มีความพยายามที่จะเคลื่อนไหว โดยการหยิบฉวยเอาเหตุการณ์คนเสื้อแดงเสียชีวิตมาเคลื่อนไหว เหมือนกับการ แก้ตัว แก้เกี้ยวที่ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในการนำผู้คนมาเสียชีวิต โดยพยายามโยนความผิดไปยังรัฐบาลในยุคนั้น โดยใช้วาทกรรมต่างๆนานา กล่าวหาผู้รับผิดชอบในยุคนั้นว่า ยังไม่ได้รับโทษบ้าง ทั้งที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว และอยากให้ทุกฝ่ายได้เคารพกระบวนการยุติธรรม ยึดคำพิพากษาของศาลเป็นข้อยุติ การที่แกนนำบางคนพยายามเคลื่อนไหวในตอนนี้ ก็เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง และปฎิเสธความรับผิดชอบการเป็นผู้นำการชุมนุมของตัวเอง ในข้อกล่าวหาพาคนไปตาย และเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งเป็นชนักติดตัวจนถึงทุกวันนี้ ไม่สามารถที่จะล้างคราบความผิดนี้ออกจากตัวไปได้ จึงพยายามดิ้นรน ปฏิเสธและโยนความผิดให้กับคนอื่น 

“เทพไท” ฟันธง “อุ๊งอิ๊ง” คือ นายกฯของเพื่อไทย ชี้หนี้ไม่พ้นการสืบทอดอำนาจคนตระกูลชินวัตร เย้ยคนใน พท.ก็แค่ “เบ๊” รับใช้เท่านั้น

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟสบุ๊ก ว่า เมื่อวานนี้ (24 เม.ย.) ตนได้นั่งดูการประชุมใหญ่ของพรรคเพื่อไทยด้วยความสนใจ และได้ลุ้นบทบาทการขึ้นเวทีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง พอๆกับการนั่งลุ้นของ นายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จากดูไบ ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า น.ส.แพทองธาร มีพัฒนาการทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเปรียบเทียบกับตอนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าการเมืองใหม่ๆ น.ส.แพทองธาร ฉายแวว มีบทบาทเด่นกว่า และมีหน่วยก้านทางการเมือง ที่ดีกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มาก 

“การขึ้นเวทีปราศรัยของคุณแพทองธาร เห็นได้ว่า มีการพูดจาได้ฉะฉาน แสดงบทบาทบนเวทีพร้อมที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองได้อย่างสบายๆ และเชื่อว่าคุณแพทองธาร จะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน ห้วงเวลาต่อจากนี้ ไปจนถึงการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า ก็จะทำให้คุณแพทองธาร จะมีพัฒนาการและความแข็งแกร่งทางการเมืองมากยิ่งขึ้น สมกับที่คุณทักษิณได้คาดหวัง และวางแผนไว้”นายเทพไท ระบุ

นายเทพไท ระบุต่อว่า ส่วนตัวเชื่อว่าน.ส.แพทองธาร จะเป็นผู้นำตัวจริงของพรรคเพื่อไทย ตามที่นายทักษิณได้วางแผนไว้ ถ้าย้อนไปดูการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายทักษิณ ในอดีตที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็เป็นการส่งเสริมบทบาท ของคนในครอบครัว วงศ์วานหว่านเครือของตัวเองทั้งสิ้น เช่น 1.ส่งเสริมให้มีบทบาทในตำแหน่ง ส.ส. มี นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือเจ๊แดง น้องสาว นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ฯลฯ 2.สนับสนุนให้ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย และน.ส.ยิ่งลักษณ์น้องสาว เคยสนับสนุนคนอื่นอย่างนายสมัคร สุนทรเวช แต่ก็ผิดหวัง เพราะควบคุม สั่งการไม่ได้ดั่งใจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top